
Avatar อภิมหากาพย์ แอนิเมชั่น 3 มิติ
ที่จะเปลี่ยนแปลงวงการหนังไปตลอดกาล!
ชม วิดีโอ คลิป หนัง ตัวอย่างหนัง Avatar คลิกเลย
สิ้นสุดการรอคอยเสียที สำหรับคอหนังทั่วโลกที่กำลังรอยลโฉมหนัง อภิมหากาพย์ไซไฟ - แอนิเมชั่น เรื่องนี้อย่างจดใจจ่อ 12 ปี หลังประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายกับ Titanic ผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน พร้อมแล้วที่จะกลับมาสร้างปรากฎการณ์อีกครั้ง ในผลงานชิ้นล่าสุด Avatar หนังมหากาพย์ 3 มิติ ซึ่งว่ากันว่าจะทำให้วงการภาพยนตร์เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล! จะเป็นแบบนั้นจริงมั้ย? Avatar จะเจ๋งสักแค่ไหน? อลังการงานสร้างเพียงใด? และจะสมกับการเป็นหนังที่มีคนรอดูมากที่สุดของปีนี้หรือเปล่า? อยากรู้ไปดูเลยดีกว่า...
5 เรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับ...
เจมส์ คาเมรอน และ หนัง Avatar

1. เจมส์ คาเมรอน คือเจ้าของประโยคเด็ด“I’m the king of the world” (หรือแปลเป็นไทยว่า“ผมคือราชาของโลกนี้” ) ซึ่งเขาเคยประกาศกร้าวเอาไว้ระหว่างขึ้นรับรางวัลออสการ์เมื่อ 11 ปีก่อน ที่หนังของเขาเรื่อง Titanic กวาดออสการ์ไปครองถึง 11 รางวัล แถมยังกลายเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ถึง $1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
.jpg)
2. ความจริงแล้ว คาเมรอน เขียนบท Avatar ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้ทำ Titanic ด้วยซ้ำ แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยนั้น ที่อย่างมากสุดทำได้แค่ แอนิเมชั่น คาเมรอน (ที่ยึดมั่นในคติที่ว่า “เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ”) ก็เลยตัดสินใจพักโปรเจ็กต์นี้ไว้ก่อน โดยบทหนังชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ที่มีชื่อเรียกเก๋ไก๋ว่า Project 880 ซึ่งระหว่างนั้น บทหนังดังกล่าวก็มักจะพูดถึงในฐานะของ “บทหนังยอดเยี่ยมของฮอลลีวู้ดที่ยังไม่ได้สร้าง”
.jpg)
3. เจมส์ คาเมรอน เป็นผู้กำกับที่ทำลายสถิติหนังที่ใช้ทุนสร้างสูงสุดมาแล้วหลายครั้ง ไล่ตั้งแต่ Terminator 2 ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกที่ใช้ทุนสร้างเกิน $100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, Titanic คือหนังเรื่องแรกที่ใช้ทุนสร้างสูงถึง $200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคราวนี้กับ Avatar ที่ใช้ทุนสร้างสูงถึง $237 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ Avatar กลายไปหนังที่แพงที่สุดในโลกไปแล้วเรียบร้อย และว่ากันว่า ถ้ารวมค่าทำการตลาดลงไปด้วย หนังเรื่องนี้น่าจะใช้งบไปไม่ต่ำกว่า $500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ!
.jpg)
4. ระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง Avatar มีผู้กำกับแถวหน้าของฮอลลีวู้ดหลายคนเดินทางไปเยี่ยม เจมส์ คาเมรอน ที่กองถ่าย ไม่ว่าจะเป็นสตีเว่น สปีลเบิร์ก, ริดลี่ย์ สก็อตต์, กีลเลอร์โม่ เดล โทโร่, สตีเว่น โซเดอเบิร์ก และปีเตอร์ แจ็คสัน โดยทุกคนที่ได้เห็นฟุตเตจบางส่วนที่ตัดออกมา ล้วนแต่รู้สึกทึ่ง อึ้ง ตะลึงงัน ไปกับภาพสุดวิจิตร ตระการตา ของหนังเรื่องนี้ โดย คาเมรอน ได้สร้างโรงถ่ายชื่อ The Volume ขึ้นมาสำหรับถ่ายหนังเรื่อง Avatar โดยเฉพาะ ซึ่งโรงถ่ายแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าโรงถ่ายทั่วๆ ไปในฮอลลีวู้ดถึง 6 เท่า!
.jpg)
5. เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดซึ่งใช้ถ่ายทำหนังเรื่อง Avatar ที่มีชื่อเรียกว่า Performance Capture เป็นการร่วมกันคิดค้นขึ้นมาโดยผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน และ Veta Digital ซึ่งเป็นบริษัทวิชวล เอฟเฟ็กต์ ของ ปีเตอร์ แจ็คสัน (ผู้กำกับ The Lord of the Rings ไตรภาค) โดยเทคโนโลยีที่ว่านี้ ไม่เพียงจะจับภาพการเคลื่อนไหวของนักแสดงได้เท่านั้น แต่ยังสามารถจับการแสดงออกทางสีหน้า ดวงตา และอารมณ์อื่นๆ ที่สื่อออกมาทางใบหน้าได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งนวัตกรรมนี้นี่แหละ ที่ทำให้แวดวงภาพยนตร์ 3 มิติของโลก กำลังก้าวไปสู่วิวัฒนาการใหม่ๆ ที่ว่ากันว่าจะทำให้ วงการหนังเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล!
.jpg)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Avatar อลังการ งานสร้าง เหนือคำบรรยาย!
บางทีประเด็นที่ว่า Avatar จะทำเงินได้มากกว่า Titanic หรือเปล่า? มันอาจจะไม่ได้สำคัญไปกว่าการที่ เจมส์ คาเมรอน ได้สร้างปรากฏการณ์อีกบทหนึ่งให้แก่วงการภาพยนตร์แล้วเรียบร้อย เพราะหลังจากที่ Avatar ออกฉาย ทั้งคนดูและนักวิจารณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่จะเป็นหนังที่เปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยเฉพาะแวดวงซีจีและหนังแอนิเมชั่น 3D ที่ต่อไปนี้ อาจจะถึงขนาดมีการขีดเส้นแบ่งยุคกันใหม่ว่า เป็นหนัง 3D ยุคก่อน Avatar หรือ หลัง Avatar เพราะมีการคาดการกันล่วงหน้าแล้วว่า หลังจาก ความสำเร็จของ Avatar เหล่า บรรดาสตูดิโอและผู้กำกับทั้งหลายจะหันมาทำหนังแบบ 3D กันมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อดึงดูดให้ผู้ชมเปลี่ยนนิสัยที่ชอบดูหนังอยู่กับบ้านจากแผ่น หรือจากการดาวน์โหลดแบบผิดกฎหมาย มาดูหนังในโรงภาพยนตร์ ก็อย่างที่เราทราบๆ กันว่า ถ้าหนังเรื่องไหนที่ทำออกมาเป็น 3 มิติ แล้วล่ะก็ คุณจะต้องดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้นถึงจะได้อรรถรสแบบเต็มที่
.jpg)
ก่อนจะเลยเถิดไปไกลกว่านี้ กลับมาพูดถึงหนัง Avatar กันดีกว่า แน่นอนที่สุดว่า หนังเรื่องแรกในรอบ 12 ปีของ เจมส์ คาเมรอน จะต้องเป็นที่คาดหวังของคนดูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถ้าย้อนกลับไปดูผลงานชิ้นก่อนๆ ของผู้กำกับมือทองคนนี้ หนังหลายๆ เรื่องของเขาไม่ว่าจะเป็น Terminator 1-2, Aliens, True Lies และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Titanic ล้วนแต่เป็นหนังที่ได้รับความนิยมอย่างสูงแถมยังเป็นหนังในความทรงจำของแฟนทั่วโลกด้วย
และถ้าใครยิ่งมารู้ด้วยว่า เจมส์ คาเมรอน เพาะบ่มประคบประหงมโปรเจ็กต์นี้แบบสุดตัว ยอมเสียทั้งเงินและเวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีในการถ่ายหนัง 3 มิติ เพื่อหวังจะพาผู้ชมไปพบกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน ก็คงจะยิ่งคาดหวังกับหนังเรื่องนี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า
ซึ่งป๋าเจมส์ ก็ไม่ทำไม่ให้เราผิดหวังจริงๆ เกือบทุกช็อต แทบทุกซีน ที่ได้เห็นเต็มสองตา ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความพิถีพิถัน ความละเมียดละไม เป็นที่สุด ด้วยจินตนาการอันล้ำลึกของ เจมส์ คาเมรอน Avatar คือหนังที่ทำให้เรารู้สึกตระการตา อัศจรรย์ใจ ยิ่งนัก เขาได้เนรมิตทุกสรรพสิ่งบนดาวแพนดอร่าให้กลายเป็นประสบการณ์ใหม่อันแสนวิเศษ สำหรับคนดูทุกคน ทั้งวิวทิวทัศน์, สิ่งมีชีวิต, สัตว์ประหลาด ที่นอกเหนือจากจะ วิจิตร งดงาม เกินคำบรรยายแล้ว (ใครที่ได้ดู Avatar แบบ 3D คงรู้ว่าฉากป่าเรืองแสงยามค่ำคืนนั้น สุดยอดขนาดไหน!) ทุกอย่างยังดู เนียน เนี้ยบ เหมือนจริง สุดๆ ชนิดที่ถ้าไม่บอกว่านี่เป็นภาพซึ่งเกิดจากเทคนิค Performance Capture (การจับภาพการเคลื่อนไหว อารมณ์ทางสีหน้าและดวงตาของนักแสดง ก่อนจะเอาไปสร้างเป็นตัวละครซีจีอีกที่หนึ่ง) ล่ะก็ เราอาจจะคิดว่าทุกอย่างที่ได้เห็นในหนังเป็นของจริงก็ได้
ในส่วนเรื่องราว (Story) ของหนัง อันนี้ต้องยอมรับกันตามตรงว่า ประเด็นที่หนังนำเสนอนั้น ไม่ใช่ประเด็นใหม่ และจะว่าไปเนื้อเรื่องของ Avatar ดูแล้วก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับหนังอย่าง Pocahontas (1995) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Dances With Wolves (1990) หนังของ เควิน คอสเนอร์ ที่เล่าเรื่องของทหารนายหนึ่งที่เข้าไปคลุกคลีกับพวกอินเดียนแดงจนแทบจะกลาย เป็นคนในเผ่า แต่แล้ววันหนึ่ง ทางการก็สั่งให้เขาจัดการกับอินเดียนแดงเผ่านี้ซะ ซึ่งเขาเลือกที่จะปฏิเสธและพร้อมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวพื้น เมืองกลุ่มนี้
ด้วยความที่เนื้อหา ไม่ใช่ประเด็นใหม่ หนำซ้ำยังไปคล้ายกับหนังบางเรื่องด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคนมองว่า บท คือจุดอ่อนของ Avatar ซึ่งอาจจะทำให้ หนังเรื่องนี้พลาดหวังจากรางวัลออสการ์สาขาหนังยอดเยี่ยม
อย่างไรก็ตาม หากเรามองในมุมกลับ จริงอยู่ที่ประเด็นซึ่งหนังนำเสนอนั้น อาจจะไม่ใช่ประเด็นใหม่ แต่มันก็เป็นประเด็นที่มีความร่วมสมัย มีความเป็นสากล และเข้าถึงคนดูทุกกลุ่มได้ไม่ยาก พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าใครที่ได้ดูก็สามารถอินไปกับเรื่องราวในหนังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่หนังพยายามสื่ออย่างตรงไปตรงมาว่า มนุษย์นี่แหละที่เป็น ตัวประหลาด และเป็น ผู้ทำลาย ตัวจริง (ในหนังชาวเนวีจะเรียกมนุษย์ว่า คนจากฟ้า หรือไม่ก็ เอเลี่ยน!) รวมไปถึงการที่หนังเล่าเรื่องของมนุษย์ซึ่งเข้าไปรุกรานดาวแพนดอร่าเพื่อ หวังตักตวงแร่อันมีค่าของที่นั่น เปรียบไปแล้วมันก็เหมือนกับการที่อเมริกาบุกยึดอิรักโดยเอาประเด็นทางการ เมืองมาเป็นข้ออ้าง แต่แท้ที่จริงแล้วก็เพื่อครอบครองแหล่งน้ำมัน
นอกจากนี้ การรุกรานชาวเนวีของมนุษย์โลกยังสามารถตีความไปได้อีกหลายแนวทาง เช่น ประเด็นเกี่ยวกับการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือการคืบคลานเข้ามาทำลายวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิม (ชาวเนวี) โดยความเจริญทางด้านวัตถุและเทคโนโลยีสมัยใหม่ (มนุษย์ ที่มักจะมองตัวเองว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความศิวิไลซ์)
ดังนั้น ถ้าเปิดใจให้กว้างสักหน่อย แล้วมองกันแบบองค์รวมทั้งในส่วนของงานด้านภาพที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ และส่วนของเนื้อหาที่สื่อสารกับคนดูแบบเข้าใจง่ายๆ แต่มี “ประเด็น” ต้องถือว่า Avatar เป็นหนังสูตรสำเร็จที่มีความลงตัวมากๆ เรื่องหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ต้องยกความดีความชอบให้แก่ เจมส์ คาเมรอน ไปเต็มๆ เพราะคนที่จะทำแบบนี้ได้ต้องเป็นผู้กำกับที่ “มือถึง” เท่านั้น ถึงจะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว และวางจังหวะจะโคนของหนังได้ถูกต้องแม่นยำขนาดนี้
ยิ่งเป็นหนังที่มีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมงแบบนี้ด้วยแล้ว ถ้าไทม์มิ่งไม่แม่นแบบ “เป๊ะๆ” ล่ะก็ อาจจะทำให้คนดูเบื่อเอาได้ง่ายๆ ลองคิดดูซิว่า จะมีหนังสักกี่เรื่องที่ประเคนให้คุณทุกอย่างทั้ง ภาพงามๆ และ เนื้อหาสนุกๆ ที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น, เร้าใจ และซาบซึ้ง ไปกับมันตั้งแต่ต้นจนจบ อ้อ...แถมยังมีแง่คิดดีๆ เป็นของฝากกลับบ้านด้วยนะ
<ข้อมูลอ้างอิงhttp://www.mthai.com>
http://forum.mthai.com
หนังเรื่องได้ยินว่าสนุกมากเลย
ตอบลบแต่ยังไม่ได้ดูเลยอ่า
สงสัยต้องเช่า
อิอิ
มาม้นให้แล้วค่ะ
ชอบครับหนังเรื่องนี้
ตอบลบรายได้ติดอันดับ 1 ของโลกเลยตอนนี้อ่ะ
ปล.Blog สวยดี อิอิ